แสงประกายแวววับจับตา
เมขลาใยลืมแก้วดวงนี้เอาไว้
หากดวงดาราประดับฟ้าสดใส
ดวงใจจึงผ่องอำไพเช่นแสงดาว
เมื่อฉันมองดวงมณีจึงคลายมองดาวยามราตรี
แต่ฉันก็รู้สึกดีแม้ไม่เคยได้สัมผัส
ไม่ได้เชยเพียงได้ชมก็สุขสมในอุรา
ปรารถนาได้เพียงมองเธอข้างเดียว
จะยืนอยู่ตรงนี้แม้ทำได้เพียงมอง
มิอาจจองเป็นเจ้าของครองหัวใจ
เกินใจจะไขว่คว้ามิอาจเอื้อมมือของฉันไป
สุขใจเพียงได้มองเจ้ามณี
ในภวังค์ดั่งแสงสะกดใจ
ครู่ครั้งหากได้เชยเหมือนลมเผยพัดกังหัน
เมื่อฉันมองจากตรงนี้จึงเห็นแสงดาวเพียงริบหรี่
แต่ฉันก็รู้สึกดีแม้ไม่เคยได้สัมผัส
ไม่ได้เชยเพียงได้ชมก็สุขสมในอุรา
ปรารถนาได้เพียงมองเธอข้างเดียว
จะยืนอยู่ตรงนี้แม้ทำได้เพียงมอง
มิอาจจองเป็นเจ้าของครองหัวใจ
เกินใจจะไขว่คว้ามิอาจเอื้อมมือของฉันไป
สุขใจเพียงได้มองเจ้ามณี
เมื่อมองเท้าที่อยู่ในตรมก็สุขสมในอุราฉัน
แม้เท้าเปื่อยดินเปื้อนโคลนก็สุขล้นในเพลานั้น
หมายมองแม่มารศรีโอเมขลาที่อยู่ในฝัน
จักใคร่ได้ดวงจินดาโผนโจนเมฆามันช่างน่าขัน
เพราะแก่นแท้แห่งความรักที่เราต่างมีนั้น
มิใช่เป็นการครอบครองแต่การได้มองหนึ่งอนงค์นั้น
มิอาจจะไปสัมผัสให้เธอเปื้อนตรมเพราะว่ามือฉัน
จึงมองเธออยู่ไกลๆ ให้เธอคงไว้ซึ่งความงามนั้น
จะยืนอยู่ตรงนี้แม้ทำได้เพียงมอง
มิอาจจองเป็นเจ้าของครองหัวใจ
เกินใจจะไขว่คว้ามิอาจเอื้อมมือของฉันไป
สุขใจเพียงได้มองเจ้ามณี
จะยืนอยู่ตรงนี้แม้ทำได้เพียงมอง
มิอาจจองเป็นเจ้าของครองหัวใจ
เกินใจจะไขว่คว้ามิอาจเอื้อมมือของฉันไป
สุขใจเพียงได้มองเจ้ามณี